Search This Blog / The Web ค้นหาบล็อกนี้ / เว็บ

Sunday, October 5, 2014

ทีมวิจัยเยอรมันยืนยัน “ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง”


ทีมวิจัยเยอรมันยืนยัน “ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง” 







 ทีมวิจัยเยอรมันยืนยัน ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง


ทีมนักจิตวิทยาและแพทย์ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเบอร์ลิน (Technische Universität of Berlin)   ได้ประกาศเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2014 ที่ผ่านมาว่าได้ทำการพิสูจน์เรื่องการคงอยู่ของชีวิตหลังความตาย ด้วยวิธีการ ทดลองทางคลินิกแล้วผลการทดลองอิงจากพื้นฐาน

ข้อสรุปของการศึกษาที่ใช้ประสบการณ์การเฉียดความตาย ในทางการแพทย์ที่ได้รับออกแบบให้เหมาะสมกับการทดลอง โดยทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตตามหลักการแพทย์ไปเป็นระยะเวลานาน 20 นาที ก่อนจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ขั้นตอนการวิจัยนี้ถูกทดลองซ้ำกับอาสาสมัครจำนวน 944 คน ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา มีการใช้สารผสมของยาบางชนิด เช่นเอปิเนฟริน ไดเมทธิลทริปตามีน ที่ช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเสียชีวิตและคืนชีวิตอีกครั้งโดยไม่เป็นอันตราย ต่อร่างกาย

โดยร่างกายของผู้ถูกทดสอบจะอยู่ในสภาพโคม่าชั่วคราวจากการใช้ยาผสมสารเคมี บางชนิดและจะได้รับการกรองออกจากเลือดด้วยโอโซนในขั้นตอนการคืนชีวิต หลังจากนั้น 18 นาที  

ระยะเวลาการทดลองที่ยาวนานนั้นเพิ่งจะสามารถทำได้จากการพัฒนาเครื่องปั๊ม หัวใจรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า AutoPulse  อุปกรณ์นี้มักจะใช้ในการกู้ชีพผู้ที่เสียชีวิตระหว่าง 40 นาทีถึง 1 ชั่วโมง


ในอดีต ประสบการณ์การเฉียดความตายได้รับการตั้งสมมติฐานมากมายในวารสารทางการแพทย์

โดยเชื่อว่าเป็นลักษณะของภาพหลอน แต่ ดร. อัคเกอร์มันน์และทีมวิจัยกลับเห็นว่านั่นคือหลักฐานของการคงอยู่ระหว่างชีวิตหลังความตายและอยู่ในลักษณะของสองสิ่งแยกออกจากกัน คือ ร่างกายและจิตวิญญาณ

ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย ดร. เบิร์ธโฮลด์ อัคเกอร์มันน์ ได้สังเกตการณ์ปฏิบัติการทดลองและรวบรวมหลักฐานจากปากของผู้รับการทดสอบ

 ผลที่ออกมาของแต่ละคนมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ผู้รับการทดสอบทุกคนยังมีความทรงจำในช่วงเวลาที่พวกเขาได้เสียชีวิตในทางคลินิกหลงเหลืออยู่ และผู้รับการทดสอบส่วนใหญ่บรรยายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกัน

ความทรงจำที่คล้ายกันของผู้ทดสอบ ได้แก่ ความรู้สึกว่าได้หลุดออกจากร่าง ความรู้สึกล่องลอย ปลอดโปร่ง ปลอดภัย อบอุ่น สัมผัสถึงการสลายตัว และมีแสงปกคลุมอยู่ไปทั่ว

ทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าพวกเขาทราบดีอยู่แล้วว่าการประกาศผลสรุปของงาน วิจัยชิ้นนี้อาจจะทำให้ผู้คนต้องตกละลึง

 โดยความเชื่อทางศาสนาของผู้รับการทดสอบไม่ได้มีผลต่อการวิจัยเลยแม้แต่น้อย โดยผู้เข้ารับการทดสอบนั้นมีผู้คนจากหลากหลายศาสนา เช่น
 คริสเตียน มุสลิม ยิว ฮินดู และแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือคนไร้ศาสนา
 แต่สิ่งที่พวกเขาบรรยายถึงความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้สัมผัสนั้นไม่แตกต่างกันเลย

ผมเองทราบดีว่าผลการวิจัยครั้งนี้อาจจะกระทบกับความเชื่อของผู้คนมากมาย ดร. อัคเกอร์แมนกล่าว

แต่ กระนั้น เราก็ได้ทำการหาคำตอบให้กับหนึ่งในคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ ผมหวังว่าคนเหล่านั้นจะให้อภัยพวกเรา
นี่คือความจริง ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงและลักษณะก็คงประมาณผลการทดสอบนี้ แน่นอนว่าทุกคนมีชีวิตหลังความตายเหมือนกันหมด













ทีมนักวิจัยรัสเซียถอดจิตค้นพบที่อยู่ของกายทิพย์หลังความตาย

ทีมนักวิจัยรัสเซียค้นพบที่อยู่ของกายทิพย์หลังความตาย







ทีมนักวิทยาศาสตร์หนึ่งในโครงการลับของรัสเซีย เผย งานวิจัยไขปริศนา หาดินแดนปรภพโดยการถอดจิต ชี้ ดาวเอ็มโอเอ-192 บี เป็นที่อยู่ของกายทิพย์ !

วันนี้ (1 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ เบอร์นาร์ด ชิมลิตต์ แห่งสถาบันเฟิร์สต์ สเปซ ไซน์ โพลีเทคนิค แห่งกรุงกลาสโกว์ เผยว่า จากการเฝ้าสังเกตการณ์และตรวจชั้นบรรยากาศอย่างละเอียด จนเกิดความมั่นใจว่าดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี (MOA-192 b)


ซึ่งตั้งอยู่ใน กลุ่ม ดาวแคปริคอน (ม้ามีหัวเป็นคน ราศีที่ 9 จาก 12 ราศี) ซึ่งอยู่ห่างจากดาวโลก ราว 3,000 ปีแสง คือแดนสวรรค์ที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ หรือที่ชาวพุทธเรียกกันว่า 

ดินแดน "ปรภพ" ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์คนดังกล่าว นำข้อมูลที่เก็บมาได้โดยเฉพาะข้อมูลชั้นบรรยากาศ บอกให้รู้ถึงร่องรอยสิ่งมีชีวิต อาศัยอยู่บนดาวดวงนั้น 2 กรณี

 1. มีการตรวจพบสัญลักษณ์พลังงานไฟฟ้าระดับต่ำ ซึ่งเป็นไปได้ว่าไฟฟ้าเกิดจากพายุฟ้าคะนอง หรือเกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า


 2. มีการตรวจพบดินแดนที่คล้ายเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่มี รูปแบบต่างไปจากมนุษย์ บริเวณขั้วโลกเหนือ ของดวงดาว MUA-192 b


ชั้นบรรยากาศดวงดาวแห่งนี้ แตกต่างไปจากชั้นบรรยากาศของโลก สิ่งที่น่าตระหนก เราพบว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดขึ้นในปริมาณสูงพอๆกับไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาในชั้นบรรยากาศ ซึ่งทั้ง 2 ประการนี้ ล้วนเป็นร่องรอย ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง


นับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ ที่ได้พบ ร่องรอยว่าดาวเอ็มโอเอ-192 บี อาจเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต ที่มีอารยธรรมสูง

ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนา อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าว หากเป็นดวงวิญญาณ ย่อมมีลักษณะเป็นกายทิพย์ (ขณะมีชีวิตอยู่บนโลก กายทิพย์อาศัยอยู่ใน กายหยาบ) ซึ่งนับตั้งแต่การเริ่มต้นศึกษาวิจัยกลุ่มดาวที่อยู่ห่างจากโลก 3,000 ปีแสง เมื่อหลายปีก่อน

 ทีมงานนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เบอร์นาร์ด ชิมมิตต์ พบว่ามีกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งมีชั้นบรรยากาศแตกต่างไปจากโลกโดยสิ้นเชิง นับแต่นั้นมา จึงได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ทางไกลแรงสูง คอยติดตามความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด

จากนั้น ได้ประสานงานกับโครงการพลังโทรจิต ที่ยูเครน (เดิมเป็นสหภาพหนึ่งของรัสเซีย ปัจจุบันแยกตัวเป็นอิสระ) ซึ่งรัฐบาลสหภาพรัสเซีย ตั้งโครงการขึ้นในยุคสงครามเย็น ซึ่งโครงการลับสุดยอดพลังโทรจิตทางไกลนี้ ตั้งขึ้นบนข้อสมมติฐานว่า


 เมื่อคนเราฝึกฝนทางจิตจนแก่กล้า จนสามารถถอดดวงจิตออกจากร่างกายได้แล้ว ก็สามารถท่องจักรวาลไป ที่ไหนก็ได้โดยมีความเร็วเหนือกว่าความเร็วของแสง

ขณะเดียวกัน โครงการนี้มีหน่วยงานข่าวกรองรัสเซีย หรือ เคจีบี เป็นเจ้าภาพ 

โดยรับคัดเลือกผู้มีพลังจิตสูงมาแต่กำเนิดมาฝึกเพิ่ม ต่อมา ได้สร้างผลงานดีเด่น เมื่อครั้งเครื่องบินรบ มิก.29 ฟอกซ์ แบท ของรัสเซียตกที่โคลัมเบียทั้งเคจีบี และ ซีไอเอ ต่างแย่งชิงเพื่อไปถึงซาก มิก.29 ก่อนอีกฝ่าย เนื่องจาก มิก.29 ในยุคนั้นคือ เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดทรงอานุภาพที่สุด


โดย ซีไอเอ ได้พิกัดจากดาวเทียมจารกรรม แต่ เคจีบี ใช้นักพลังจิตตามโครงการโทรจิตทางไกล แผ่พลังจิตตามหาซากเครื่องบิน   ปรากฏว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซียไปถึงซากเครื่องบินก่อน ขณะที่ฝ่ายสหรัฐรู้ว่า ตกอยู่ในหุบเขา แต่ไม่อาจเจาะจงได้ว่าเป็นจุดใด 


หลังจากรัสเซียประสบความสำเร็จจากโครงการนี้ รัฐบาลสหรัฐ โดย ซีไอเอ ก็ได้ตั้งแผนงานโทรจิตทางไกล ขึ้นมาเช่นกัน  แต่พัฒนาได้ไม่ทันรัสเซีย เมื่อนักวิทยาศาสตร์โปแลนด์ ประสานงานไปยังรัฐบาลยูเครน ขอตัวนัก พลังจิตมาช่วย  เพื่อถอดดวงจิตเดินทางไปยังดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี 


ซึ่งมีวิธีส่งพลังจิตเดินทางไกล คือการ นั่งเข้าสมาธิให้พลังจิตเดินทางไปยังจุดหมาย ปลายทางที่กำหนด มาถึงขั้นนี้ ผู้รู้อธิบายว่า คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งเกิดฌานชั้นสูงระดับอภิญญาฌาน ดวงจิตจึงถอดออกจากร่างได้  และดวงจิตที่ถูกถอดออกจากกายหยาบ 

 ที่เรียกว่า "กายทิพย์"  ซึ่งการเข้าฌานโดยนักพลังจิตยูเครน ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสดงว่าใช้เวลาไปกลับ ดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี เพียงชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น

แต่หากนักวิทยาศาสตร์โลกสามารถสร้าง ยานอวกาศมีความเร็วเท่าความเร็วของแสงได้ ยานลำนั้นใช้เวลาเดินทางถึง 3,000 ปี จึงจะเดินทางถึงดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี ได้ (ระยะทาง 1 ปีแสง = 10 ล้านกิโลเมตร)


นอกจากนี้ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ว่า ผลการส่งพลังจิต ได้พบกับถิ่นฐานของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ ที่มีเคหะสถานบ้านเรือนเหมือนชาวโลก แต่สร้างในรูปทรงต่างกันโดยสิ้นเชิง 


ผู้ถอดดวงจิตยืนยันว่า เขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีใบหน้ารูปร่างเหมือนคนที่เขารู้จักด้วย ไม่ใช่แค่คนเดียวแต่จำได้หลายคน


จุดนี้ เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้ โครงการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า คนบางคนเมื่อตายไปแล้ว ดวงวิญญาณของพวกเขาได้เดินทางไปอยู่ที่นั่น และเพื่อความมั่นใจ ทางทีมวิจัยได้ให้ผู้ส่งพลังจิต อย่างน้อย 3 คน ตรวจสอบหลายครั้งจนมั่นใจว่าเขาจำได้ว่าคนที่เขาพบเห็นบนดาวเอ็มโอเอ-192 บี จริง ไม่ได้ผิดตัวแต่อย่างใด เบอร์นาร์ด เล่าว่า "ผู้ส่งพลังจิตยืนยันว่าเขาพบนักเต้นบัลเล่ต์ ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาชื่นชอบมาก ขณะที่ เปิดการแสดงที่โรงละครกรุงมอสโคว์ ต่อมา นักบัลเล่ต์ผู้นี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ได้ไม่นาน


เขาได้ถอดจิตแล้วไปพบกันที่นั่น แต่ไม่มีการพูดคุยกับผู้ที่อยู่บนดาวเอ็มโอเอ-192 บี กับพลังจิตที่ส่งออกไปจากโลก  เพราะผู้ที่อยู่ที่นั่น มองไม่เห็นพลังจิต"

อย่างไรก็ตาม โครงการได้ทดลองนำภาพคนตายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จำนวน 43 คน ให้นักพลังจิตดูว่าพบใครบ้างบนดาวดวงดังกล่าว ปรากฏว่านักพลังจิต 2 คน จำได้ 3 คน เป็นอีกข้อมูลยืนยันว่าดวงวิญญาณเดินทางด้วยความเร็วพอ ๆ กับพลังจิต ซึ่งนักพลังจิตที่ส่งพลังจิตไปสำรวจ ดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี

อธิบายว่า ไม่ได้มีความเหมือน กับแดนสวรรค์ ตามภาพวาดตามผนังโบสถ์ ไม่มีกลุ่มเมฆ ไม่มีนางฟ้า เทพ สวรรค์ หรือถนนปูลาดด้วยทองคำ


ด้าน ดร.เซอร์ไก อูซนิดอฟ ผู้อำนวยการ โครงการโทรจิตทางไกลแห่งยูเครน กล่าวว่า ภาพลักษณ์ดินแดนปรภพ เหมือนเมืองเล็ก ๆ อยู่ตามชนบท ไม่มีรถยนต์ ไม่มีเครื่องจักร ผู้คนอยู่อย่างสงบสุข ผู้อยู่ที่นั่นล้วนมีสุขภาพดี ปรากฏตัว เป็นอย่างไรก็อยู่เช่นนั้ตลอดไป ไม่มีความแก่เฒ่า

ไม่มีอาการเจ็บป่วย ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีสงคราม ไม่มีเด็กเกิดใหม่ พบเห็นผู้คน หน้าใหม่เดินออกจากอาคารขนาดใหญ่ เหมือน ศูนย์รับส่ง เหมือนศูนย์กลางรอรับดวงวิญญาณ มาจุติที่นี่ ซึ่งบนโลกของเราอาจมีกลไกธรรมชาติที่ยังค้นหาไม่พบ ทำหน้าที่เป็นภาคส่งดวงวิญญาณไปยังดาวดาวต่างๆ ทั่วทั้งจักรวาล ไม่จำเพาะเจาะจงที่ดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี เท่านั้น

ขณะเดียวกัน นักวิจัยบางคน ได้เปิดเผยถึงทฤษฎีหนึ่ง ที่เป็นไปได้สูงเกี่ยวกับพลังชีวภาพ (bioenergy) ซึ่งในร่างกายคนทุกคนมีพลังงานนี้ปรากฏออกมาเมื่อคนกำลังจะตาย ทำหน้าที่เป็นแรงส่ง ดวงวิญญาณไปยังดวงดาวต่างๆ  และแรงส่งพลังชีวภาพจะ เลือกส่งดวงวิญญาณหรือกายทิพย์ไปยังดวงดาวใกล้หรือไกลโดยอาศัยเหตุปัจจัยใด


พระนักวิปัสสนา ผู้ได้ฌานมาบ้างแล้ว ต่างรู้ดีว่า ล้วนมีบาปบุญคุณโทษเป็นตัวกำหนดนั่นเอง


Monday, February 24, 2014

การระลึกชาติของ ด.ญ. พิมพวดี กรณีศึกษาผลของกรรม


การระลึกชาติ ด.ญ.พิมพวดี กรณีศึกษาผลของกรรม


จัดทำโดย อ.หมอสุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอกบาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
 B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM.  พทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ.พท.ว.พท.ผ.พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต
ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม

การระลึกชาติ ด.ญ.พิมพวดี กรณีศึกษาผลของกรรม



 บิดาของ ด.ญ. พิมพวดี เมื่อชาติ่ก่อน
เมื่อครั้งที่เป็น ราชมัล ในรัชกาลที่ ๓

บิดาของ ด.ญ. พิมพวดี ในชาติปัจจุบัน

ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล ระลึกชาติได้


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล  เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2493 ได้ป่วยเป็นไข้เลือดออก 
ด้เสียชีวิตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 ที่โรงพยาบาลศิริรราช อายุ  9 ปี 9 เดือน

ในชาตินี้ ด.ญ. พิมพวดี โหสกุลได้มาเกิดในครอบครัวของตระกูลโหสกุลบิดาคือ นายเสียง โหสกุล และ มารดานางสมพร พัฒนวิบูลย์

เธอมีพี่น้องรวมกัน 5 คน คือ
1. นายเสรี โหสกุล, 
2. นายวัฒนา โหสกุล
3. นายถาวร โหสกุล, 
4. นายวันชัย โหสกุล
5. เด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล 

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล บุตรสาวคนเล็กเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัว 
เนื่องจากเป็นบุตรหญิงคนเดียว

เแต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล ป่วยเป็นไข้เลือดออกต้องเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริรราช และได้เสียชีวิตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2502 ซึ่งสร้างความโศกเศร้าเสียใจให้แก่ครอบครัวโหสกุลเป็นอย่างมาก 

โดยเฉพาะ นายเสียง และ นางสมพร เพราะถือเป็นบุตรสาวคนเดียวในบ้าน และจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คืออายุได้เพียง 9 ปี 9 เดือน นายเสียงถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เห็นรูปของ พิมพวดี โหสกุล ลูกสาวสุดที่รักคราวใดเป็นต้องร้องไห้โฮ หรือถ้าหากใครเผลอเอ่ยถึง พิมพวดี โหสกุล ทีไรก็เป็นต้องร้องไห้ทุกครั้งไป


พลับพลาพิมพวดี ที่คุณเสียง โหสกุล ผู้เป็นบิดา สร้างเป็นอนุสรณ์แห่งความรักอาลัย บุตรี

ด้วยความรักและอาลัยที่มีต่อ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล บุตรสาวเพียงคนเดียว ทำให้ นายเสียงเกิดความคิดจะต้องสร้างสถานที่ระลึกเพื่อเป็นอนุสรณ์ จึงได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) เจ้าอาวาสวัดมกุฎกษัตริยาราม ในขณะนั้น 



ได้กราบทูลว่า "มีความประสงค์จะหาที่ในบริเวณวัดที่เหมาะ ๆ สร้างศาลาสักหลังหนึ่ง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล ซึ่งเป็นบุตรสาว ก่อสร้างเสร็จแล้วจะถวายวัดไว้เป็นที่ตั้งศพของญาติ
โยมทั่วไป" ซึ่งท่านก็ให้การสนับสนุน โดยทรงอนุญาตให้รื้อกุฎิหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ข้างอาคารสำนักงานผลประโยชน์ของวัดเป็นสถานที่ก่อสร้างศาลาดังกล่าวเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2504 โดยให้ชื่อว่า "พลับพลาพิมพวดี"                                  






ด้านในได้ตั้งรูปถ่ายของ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล บุตรสาวสุดที่รัก พร้อมพานพุ่ม และเครื่องบูชา นับตั้งแต่นั้นมาบรรดาญาติ ๆ พี่น้องของตระกูล "โหสกุล" จะร่วมกันไปทำบุญให้ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล น้องสาวคนสุดท้องเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง คือ ทุกวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด และทุกวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่เด็กหญิงพิมพวดีได้เสียชีวิต 


สำหรับเรื่องราวที่ ด. ญ. พิมพวดี โหสกุล ที่เกี่ยวข้องกับนายแพทย์อาจินต์ นั้น นายแพทย์อาจินต์ กล่าวว่า"เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวผมเอง โดยเมื่อราวปลายปี 2529 คาบเกี่ยวถึง วันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2530 เมื่อครั้งที่ได้จัดคณะท่องเที่ยวผู้สูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือ ผมก็ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) 

เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรง ๆ ก็พอบรรเทาไปได้ 

แต่พอปี พ.ศ.2504 ผมเป็นเกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ก็ไม่หาย แพทย์จึงรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง (ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว) โดยได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดี แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน 

คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทอาการกำเริบอีก พยาบาลให้กินยาและฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ แต่อาการก็ไม่หายปวด ผมนอนหลับตา เอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อย ๆ พอสงบ ประมาณสามทุ่มเศษ ๆ ก็หลับตา

เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง จึงลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า "ใครมา?" ได้รับคำตอบว่า "ดึกแล้ว...ไม่มีใครมาหรอก" จากนั้นผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วน มายืนอยู่ข้างเตียง 

ผมจึงเอ่ยปากออกถามว่า “หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่ ?" (พูดออกมาดัง ๆ เพื่อให้ภรรยาและพยาบาลได้ยิน) ภรรยาก็มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า "เธอ นี่อยู่นี่ ๆ ” ก็คงคิดว่าผมคงป่วยมากจนเพ้อ แต่ผมก็บอกว่า "ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติอะไรหรอก แต่มีใครเห็นบ้างไหม?" มีเด็กมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่ สองคนนั้นตอบว่า "ไม่มีใครเห็น" แต่ผมก็ยังข้องใจ เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

ก็เลยพูดออกมาดัง ๆ ว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจด ๆ จำ ๆ ไว้ด้วย" แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดัง ๆ ว่า "หนูเป็นใคร ? มาทำไมในห้องนี้?" แม่หนูตอบว่า "หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว" 

ผมก็ถามต่อว่า "เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ หนูเป็นอะไรตาย?" หนูน้อยตอบว่า “ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ" ภรรยาและพยาบาลช่วยจดกันใหญ่"หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?" เธอบอกว่า "ตาหนูเป็นหลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริค่ะ" 

ผมทบทวนคำพูดดัง ๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย แล้วถามต่อว่า"หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ ?" เธอตอบว่า "หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีกลายที่ตึกเด็ก เธอบอกว่าเธอเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เธออยากจะมาหา และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เธอให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ" 

จากนั้นผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก เธอบอกว่า ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้

จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ไปด้วย ต่อมาประมาณห้าทุ่ม ผมก็ปวดประสาทอย่างรุนแรง จึงตื่นขึ้นมาและผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ที่หูว่า "เธอจ๋า พ่อเธอนอนอยู่ที่นี่  เข้ามาซิ" 

ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ" 

ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วนคนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย 12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผมแล้วพูดว่า "พ่อ หนูมาช่วยพ่อนะ"

ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า "เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม? เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ" 

พยาบาลเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น แล้วบอกว่า "ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ" 

ผมจึงตอบไปว่า "มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ" และผมก็ยื่นมือออกไปชี้ที่ตัวเด็ก ขณะที่ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน (อาจจะเพราะความกลัว) จากนั้นหนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป เหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วสนทนากันดังนี้:-

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ?


นายแพทย์อาจินต์ : ตอนนี้ปวดมากจ้ะ

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้ สักครู่จะทุเลา


นายแพทย์อาจินต์ : (ต่อจากนั้นสักพักอาการปวดก็สงบ) หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อหรือ?


นายแพทย์อาจินต์ : อ้อ! ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: เป็นผู้หญิงค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย


นายแพทย์อาจินต์ : หนูตายที่ไหน?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ตกน้ำตายที่โรงโม่


นายแพทย์อาจินต์ : โรงโม่อยู่ที่ไหน?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก็แถว ๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่?


นายแพทย์อาจินต์ : ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก็สิบกว่าขวบค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : ชาติก่อนนี้ พ่อเป็นอะไร?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล


นายแพทย์อาจินต์ : ราชมัล เป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ราชมัล เป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย


นายแพทย์อาจินต์ : ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้


นายแพทย์อาจินต์ : ก็ทำตามหน้าที่ๆคือ ควบคุมทรมานเขา เราไม่ทำ เราก็ผิด


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่าง ๆ แก่ราษฎร ความจริงนั้นเขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำ ก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ พ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บ แล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหว ก็ขาดใจตาย ก่อนตายเขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่าจะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว จึงได้ป่วยเช่นนี้ 

นายแพทย์อาจินต์ : เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที?                                                                     

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้ เวลาผมปวดประสาทมาก ๆ ให้นึกถึงหนู หนูจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ

นายแพทย์อาจินต์ : พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ?                                                     

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: (เธอก็พยักหน้ารับคำ) หนูจะไปก่อนนะ


จากนั้นหนูน้อยคนนั้นก็หายตัวไป รุ่งขึ้นเวลา 8 นาฬิกา อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า "แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก" แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด                                                                           

ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย และการผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราว ๆ สี่ชั่วโมง พอราว ๆ เที่ยงเขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม

 ที่ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ค่ำวันนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ทีนี้ปวดสองอย่างคือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่า ปวดแผล มิหนำซ้ำโรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานมากกว่าเก่า และแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงพูดออกมาว่า "หนู! ช่วยพ่อด้วย" ผมตะโกนออกมาดัง ๆ ชั่วอึดใจเดียวก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงคนเดิมมานั่งอยู่ข้างเตียง ผมจึงถามว่า

นายแพทย์อาจินต์ : มาแล้วหรือลูก ช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือจะทนแล้ว


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: (แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ) เดี๋ยวจะทุเลา


นายแพทย์อาจินต์ : (ก็เป็นจริงดังว่า อาการปวดก็ทุเล)) หนูชื่ออะไรจ๊ะ?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก่อนที่จะตายนี้หนูชื่อพิมพวดี


นายแพทย์อาจินต์ : หนูเป็นอะไรตาย?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูเป็นไข้เลือดออกตายค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : ตายที่นี่หรือ?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ตายที่ตึกเด็กค่ะ

นายแพทย์อาจินต์ : ตายเมื่อไหร่จ๊ะ?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: เมื่อปี 2502 ค่ะ


นายแพทย์อาจินต์ : หนูมีพี่น้องกี่คนจ๊ะ?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: มี 5 คนค่ะ 

นายแพทย์อาจินต์ : ผู้หญิง ผู้ชาย กี่คน?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว


นายแพทย์อาจินต์ : พ่อแม่คงจะเสียใจมากที่หนูตายไป


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างศาลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งศาลานี้ มีรูปหนูและมีคำจารึก มีกระดูกที่เผาแล้วของหนู ฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ พ่อดีขึ้นแล้ว หนูลาไปก่อน แล้วจะมาหาพ่ออีกค่ะ


พอรุ่งขึ้นเช้าอาการปวดก็กำเริบ ปวดทุรนทุรายร้องครวญครางอีก และทุกครั้งที่ปวดผมก็จะนึกถึง พิมพวดี ทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวัน ก็จะได้ยินเสียงพูดว่า "พ่อ หนูมาแล้ว." แล้วเธอก็เอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา

 ต่อมาในเย็นวันหนึ่ง ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านได้ไปเยี่ยมพร้อมบุตรคือ บู๊-วีระวัฒน์ บุณยเกตุ ในนั้นอาการปวดของผมกำเริบปวดขึ้นมาก ๆ ผมนอนร้องเรียก พิมพวดี ให้มาช่วย คุณทวี ก็พอทราบเรื่องอยู่บ้าง แล้วจากคำบอกเล่าของญาติ ๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ซึ่งปกติท่านไปเยี่ยมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก และร้องเรียกหนูพิมพ์ ว่า "ลูก…มาช่วยพ่อที" จากนั้น พิมพวดี ก็ปรากฎตัวให้ผมเห็น ผมก็ถามว่า 

นายแพทย์อาจินต์ : ผ่าตัดแล้วทำไมยังไม่หายอีก?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วเมื่อไหร่จะหาย?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: ก็ราว ๆ อีกสี่ปี พ.ศ.2508 นั่นแหละ


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: พรุ่งนี้แปดโมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าตัดอีก จะต้องผ่าอีกสองครั้ง รวมเป็นสี่ครั้งในคราวนี้

นายแพทย์อาจินต์ : ต้องผ่าถึงสี่ครั้งเชียวหรือ

ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับส่วนกุศลที่เขาอุทิศให้ที่ศาลาพิมพวดี


นายแพทย์อาจินต์ : เขาอุทิศกุศลให้เรื่องอะไร?


ด.ญ. พิมพวดี โหสกุล: เขาบำเพ็ญกุศลศพใครก็ไม่รู้ที่ศาลา คนตายมีเหรียญตรา มีสายสะพาย


คุณทวี นั่งฟังอย่างสงบ ก็อยากจะพิสูจน์ จึงให้ คุณวีระวัฒน์ ขับรถออกไปดูว่าที่ ศาลาพิมพวดี วัดมกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลศพใคร คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถไปที่วัดมกุฎฯ ทันที และปรากฏว่าคืนนั้นมีการนำศพออกมาจากสุสาน นำมาบำเพ็ญกุศล เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า รูปถ่ายหน้าโกศเป็นรูปเต็มยศ มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริง ๆ คุณวีระวัฒน์ จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีว่าเป็นจริงอย่างที่ผมทวนคำพูดทุกประการ

คืนนั้น ผมปวดอีกครั้งหนึ่ง พอเช้า อาจารย์หมออุดม ก็มาเยี่ยมอย่างเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่าไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อนแปดนาฬิกา ผมตะลึง ภรรยา และพยาบาล งง ทุกคนในตึกนั้น เมื่อได้ทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้าเธอเล่าให้เพื่อน ๆ เธอฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า เช้านี้ผมจะต้องถูกผ่าตัดอีก เพราะ พิมพวดี บอกไว้ 

ข่าวลือ ข่าวจากปากต่อปาก ไปไกลกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน จากนั้นก็มีชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อนมาขอเยี่ยม สองท่านนี้เอาพวงมาลัยพวงใหญ่มาแขวนให้ผมที่หัวเตียงนอน สักครู่ใหญ่ผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กผู้หญิงราว ๆ สามสิบใบ มาวางเรียงบนที่นอนผม และท่านก็ถามว่า "คุณหมอ ช่วยชี้ซิครับว่า คนที่มาหาคุณหมอ มาคุยกับคุณหมอ แล้วบอกว่าชาติก่อนเป็นลูกสาวคุณหมอ และชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ คนไหนในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่" 

ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบแว่นตามาสวมดูไปที่ละรูป ดูไม่นานนัก ผมก็หยิบเอารูปหนึ่งขึ้นมา และบอกว่า "หนูคนนี้แหละครับ ที่มาหาผมทุกวัน" ทั้งสองท่านหุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่ คุณผู้ชายก็เช็ดน้ำตา แล้วกล่าวว่า "ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่ายหนูพิมพ์ พิมพวดี โหสกุล ลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน ส่วนนอกนั้นเป็นรูปเพื่อน ๆ ของหนูพิมพ์" 

นายเสียง : ผมทราบข่าวก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยม และสอบถามถึงลูกสาวผม เพราะทุกวันนี้ ก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ์อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก ท่านั่งประจำของแกก็คือท่านั่งเท้าคาง เอาข้อศอกยันพื้นไว้ อย่างที่คุณหมอพูดจริง ๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ ตอนนี้หนูพิมพ์อยู่ที่ไหน 


นายแพทย์อาจินต์ จึงพูดขึ้นว่า หนูพิมพ์ยังอยู่แถว ๆ นี้ และมาเยี่ยมผมเกือบทุกคืน โดยมากก็ไม่เว้น แต่บางที่ก็มาตอนกลางวัน หนูพิมพ์บ่นว่าคนถือขาหยั่งที่วางพวงหรีด เอาขาหยั่งไปเกี่ยวกับระย้าโคมไฟกลางศาลาพิมพวดี ตกลงมาแตกหลายอัน พ่อเธอไม่รู้เลยไม่มีใครไปทำให้ดีเหมือนเก่า เธอเสียดายมาก ผมก็นอนอยู่ที่เตียงนี้มากว่าสิบวันแล้ว ไม่เคยไปนั่งในศาลาที่ว่านี้ แล้วผมจะรู้ว่าที่กลางศาลาพิมพวดี มีโคมไฟระย้าห้อยอยู่ได้อย่างไร แล้วเดี๋ยวนี้ตกลงมาแตกหลายอัน

นายเสียง จึงไห้คนขับรถบึ่งไปดูโคมไฟ ว่าเป็นจริงตามที่ผมพูดหรือไม่ พอคนขับรถกลับมาก็บอกว่า "ระย้าที่ห้อยโคมไฟขาดไปหลายอัน สงสัยว่าจะตกลงมาแตก" ท่านจึงสั่งว่า "พรุ่งนี้ให้ช่างไฟไปดู แล้วไปจัดการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย"

คุณเสียง และภรรยา นั่งอยู่อีกสักพักก็กลับ ก่อนกลับได้ถามผมว่า หนูพิมพ์พูดหรือเปล่าว่า วิญญาณของเธอจะไปไหนต่อ ผมก็ตอบว่า "อีกไม่ช้าหนูพิมพ์จะไปเกิด และทีนี้จะไปเกิดเป็นผู้ชาย เธอคุยกับผมว่าอย่างนั้น" พอได้ยินคำนี้ ภรรยาคุณเสียงก็ยกมือไหว้พึมพำว่า "เกิดชาติใดฉันใดขอให้มาเป็นแม่ลูกกันอีก" ก่อนจากกัน ทั้งสองท่านได้ออกปากเชิญผมว่า ถ้าผมหายป่วยเมื่อไหร่จะเชิญผมและภรรยาไปรับประทานอาหารที่บ้านสักครั้ง ผมจึงออกปากขอรูปถ่ายของหนูพิมพ์ไว้ เพื่อจะได้ดู และอุทิศกุศลให้เธอ เวลาสวดมนต์และทำบุญกุศล

พอค่ำอาการปวดก็มาเยือน ผมนึกไปถึงหนูพิมพ์พยายามเข้าสมาธิไปมันก็ไม่ทุเลา หนูพิมพ์มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาผมก็พูดว่า "มาแล้วหรือลูก" แล้วผมก็ถามว่า "เมื่อไหร่จะหาย หรือหมดเวรกรรมเสียทีมันทรมานจริง ๆ "

 หนูพิมพ์ก็ตอบว่า "อีกสี่ปีถึงจะพบหมอที่จะรักษาให้หายขาดได้ เมื่อนั้นก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอดไป" ผมก็ถามต่อไปว่า "แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ไนตอนนี้ เพราะตอนนี้ปวดมาก" เธอตอบว่า "พรุ่งนี้ พ่อจะต้องถูกผ่าตัดอีก คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับงวดนี้ และจะเป็นการผ่าตัดที่ทารุณที่สุดในชีวิตพ่อ!"

รุ่งเข้า 7 นาฬิกา อาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมตามเคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล ท่านก็ยืนนิ่งครู่หนึ่ง แล้วก็หันมาพูดกับผมว่า "เดี๋ยวแปดโมงเช้าเอาไปผ่าอีกที ทีนี้จะเลาะประสาทฝอยออกหมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมาปวดอีกแล้ว" 

พอราว ๆ 8 นาฬิกา รถเข็นคันนั้นก็มาอีก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด ผมจึงถามพยาบาลว่าทำไมไม่ฉีดยาสลบ ก็ได้รับคำตอบว่า "คราวนี้อาจารย์จะผ่าสด ๆ ไม่ใช้ยาฉีด ไม่ใช้ยาชาใด ๆ ทั้งสิ้น จะได้รู้ว่าประสาทฝอยเส้นไหนมันเสีย มันถึงปวด ผมก็นึกว่ากรรม กรรมแน่แท้"

เวลาผ่าตัด ผมร้องออกมาดังกว่าวัว กว่าควาย ที่กำลังถูกเชือดอีก เพราะการผ่าตัดแบบนี้ เวลาดึงเส้นประสาททีไรก็สะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดหัวไว้ ทั้ง ๆ ที่พันธนาการไว้อย่างเหนียวแน่น ผมร้องโอดโอย ดังที่สุดในชีวิต เจ็บที่สุดในชีวิตปวดที่สุดในชีวิต และทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับที่ หนูพิมพ์ บอกไว้ไม่มีผิด 

และสุดท้ายผกก็สลบไปเอง เพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนที่สายน้ำเกลือรุงรัง มีสายยางอยู่ที่จมูกที่ปาก ก็พบภรรยาและพยาบาลที่นั่งเฝ้าอยู่ พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ ก็เอามือมากุมตรงที่แผลผ่าตัด และที่ปวดอยู่ ผมก็ถามเธอว่า

นายแพทย์อาจินต์ : พ่อหมดเวร หรือยัง?

พิมพวดี โหสกุล: พ่อชดใช้กรรมตามที่เขาอาฆาตไว้มากแล้ว ต่อไปนี้จะดีขึ้น ๆ

นายแพทย์อาจินต์ : พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม?

พิมพวดี โหสกุล: ไม่มีอีกแล้ว


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วจะปวดโรคประสาทนี้อีกไหม?


พิมพวดี โหสกุล: ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก จะมีอีกสี่ปี


นายแพทย์อาจินต์ : แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป?


พิมพวดี โหสกุล: ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อย ๆ ขออโหสิเขาเสียภาวนา แล้วส่งในไปแผ่ส่วนกุศลให้เขาเสมอ ๆ นะพ่อนะ


นายแพทย์อาจินต์ : พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่?


พิมพวดี โหสกุล: วันอาทิตย์นี้แหละจ้ะ…พ่อ


นายแพทย์อาจินต์ : ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับไปได้อย่างไร?


พิมพวดี โหสกุล: ก็ยังมีกรรมเบา ๆ หลงเหลืออยู่อีก ถึงจะเป็นก็ไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ้ะ


นายแพทย์อาจินต์ : เวลาพ่อกลับบ้านแล้ว พ่อจะเรียกให้ลูกไปหาจะได้ไหม?

พิมพวดี โหสกุล: หนูจำต้องลาไปเกิดแล้ว และเป็นผู้ชายจ้ะ..แล้วลูกเข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่ เจ้าทาง เขาห้ามจ้ะ หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้จะไม่มาอีกแล้วจ้ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย นะพ่อนะ


สียงหนูพิมพ์แว่ว ๆ แต่ชัดเจนติดมาจนบัดนี้…แล้ว หนูพิมพ์ ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลย อาการปวดผมก็บรรเทาเบาบางลง ๆ ซึ่งตอนที่ออกจากโรงพยาบาล ก่อนกลับบ้านผมถือรูปหนู พิมพวดี ไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่วัดมกุฏกษัตริยารามก่อน เพื่อไปดูศาลาพิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ ผมยกมือขึ้นอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่า จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อสวดมนต์ก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป และขอให้ได้พบกันเป็นพ่อลูกทุก ๆ ชาติ

อ้างอิง : ขอให้วิญญาณของเธอไปสู่สุคติ  ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผู้ให้ข้อมูลต่างๆ  และผู้ที่มีประสบการณ์กับกรณีศึกษา ด้านจิตวิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด ให้รับกุศลผลบุญกุศล โดยทั่วกัน
เพื่อประโยชน์ทางด้านการเผยแพร่พุทธศาสนา เพื่อความเข้าใจเรื่องผลของกรรม การใช้เวรใช้กรรมตามหลักศาสนาพุทธ

ผู้นำมาเผยแพร่ต่อโดย: อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ Suchart Poovarat, เพื่อประโยชน์แก่มหาชนสืบไป

---------------------------------------------------------------------


Thursday, February 20, 2014

การระลึกชาติของพระพุทธเจ้าชาติที่ 251 ถึงชาติที่ 302


 การระลึกชาติของพระพุทธเจ้าชาติที่ ๒๕๑ - ๓๐๒






จัดทำโดย อ.หมอสุชาติ ภูวรัตน์
นธ.เอกบาลีประโยค 1-2
(อดีตพระธรรมทูตต่างประเทศ)
B.S. Engineering Design Tech.
 B.A. ศาสนศาสตร์บัณฑิต
B.S. Computer Information Systems
B.TM.  พทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
บ.ภ.พท.ว.พท.ผ.พท.น.
ครูแพทย์แผนไทย 4 ด้าน
ศูนย์การแพทย์แผนไทยภูเก็ต
ทำเพื่อการศึกษาและประโยชน์แก่ผู้ชม

การระลึกชาติของพระพุทธเจ้าชาติที่ ๒๕๑- ๓๐๒
                
ชาติที่ ๒๕๑ เรื่อง พระนางมุทุปราณีผู้มีพระหัตถ์นิ่มดั่งสำลี
                  พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี

ชาติที่ ๒๕๒ เรื่อง อนิตติคันธกุมารผุ้เกลียดหญิงหลงหญิง
                  พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระราชกุมาร

ชาติที่ ๒๕๓ เรื่อง พระเจ้ามหาปนาท
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระอินทร์
                    พระภัทชิได้เคยเกิดเป็นพระเจ้ามหาปนาท

ชาติที่ ๒๕๔ เรื่อง นายบ้านผุ้กล้าหายคนหนึ่ง
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นนายบ้าน
   
ชาติที่ ๒๕๕ เรื่อง พญาม้าสินธพ
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพญาม้า
                    สตรีคนหนึ่งได้เคยเกิดเป็นนางฬา 
     
ชาติที่ ๒๕๖ เรื่อง พญาปูทองหนีบพญาช้าง
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพญาช้าง
                    อุบาสิกาคนหนึ่งได้เคยเกิดเป็นนางช้าง

ชาติที่ ๒๕๗ เรื่อง พระราชชนนีปากร้าย
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี
                    นางสุชาดาได้เคยเกิดเป็นพระมารดา

ชาติที่ ๒๕๘ เรื่อง กากับนกเค้าเป็นศัตรูกัน
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นหงส์ทอง

ชาติที่ ๒๕๙ เรื่อง สุนัขจิ้งจอกขี้ใส่หม้ิอน้ำฤๅษี
                   พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษีผู้เป็นหัวหน้า
                   สุนัขจิ้งจอกที่ขี้เยี่ยวลงในบ่อน้ำของสงฆ์ได้เคยเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอก
                   ขี้ใส่หม้อน้ำฤๅษี 

ชาติที่ ๒๖๐  เรื่อง ป่าพึ่งเสือๆ พึ่งป่า
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นเทวดาผู้มีปัญญา
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นราชสีห์
                    พระโมคคัลลาได้เคยเกิดเป็นเสือโคร่ง
                    พระโกกาลิกะได้เคยเกิดเป็นเทพยดาโง่เขลา

ชาติที่ ๒๖๑ เรื่อง เต่ากับลิงซุกซน
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษี

ชาติที่ ๒๖๒ เรื่อง กุรุธรรมของพระเจ้าโกรพย์หรือคนทั้ง ๑๑
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าโกรพย์
                    สาวกสาวิกาพระพุทธบิดามารดาได้เคยเกิดเป็นบุคคลทั้ง ๑๐

ชาติที่ ๒๖๓ เรื่อง ดาบสคิดจะฆ่านกพิราบกิน
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นนกพิราบนายฝูง
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นดาบสผู้ทรงศีล
                    พระเทวทัตได้เคยเกิดเป็นดาบสโกง

ชาติที่ ๒๖๔ เรื่อง  ลิงโลเลตัวหนึ่ง
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นกระบือมีศีล
                    ลิงซุกซนได้เคยเกิดเป็นลิงซุกซน
                    ช้างดุร้ายตัวหนึ่งได้เคยเกิดเป็นกระบือร้าย
                                   
ชาติที่ ๒๖๕ เรื่อง แม่ตายไปเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอกช่วยลูก
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นนายโจร

ชาติที่ ๒๖๖ เรื่อง วานรแก้ห่อแล้วห่อไม่เป็น
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพราหมณ์
                    ทารกคนหนึ่งได้เคยเกิดเป็นวานร

ชาติที่ ๒๖๗ เรื่อง มะม่วงอัพภันดร
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นหัวหน้าดาบสในอุทยาน
                    พระนางพิมพาได้เคยเกิดเป็นพระราเทวี
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นดาบส
                    พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี
                    พระราหุลได้เคยเกิดเป็นนกแขกเต้า

ชาติที่ ๒๖๘ เรื่อง อำมาตย์ทรยศ
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี
                    พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าสามน

ชาติที่ ๒๖๙ เรื่อง สุกรฆ่าเสือ หรือหมูกินเสือ
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นเทวดา
                    ภิกษุรูปหนึ่งได้เคยเกิดเป็นหมูช่างไม้ 

ชาติที่ ๒๗๐ เรื่อง ได้เป็นเจ้าแผ่นดิน เพราะได้กินเนื้อไก่มีบุญ
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษี
                    พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นนายหัตถาจารย์

ชาติที่ ๒๗๑ เรื่อง สุกรพยายามจะทำให้ถ้ำแก้วมณีเสียเสีย
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษี
                   
ชาติที่ ๒๗๒ เรื่อง สุกรถูกฆ่าแต่งงานแล้วมาเกิดเป็นพระ
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นโคมหาโลหิต
                    พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นโคจุฬโลหิต
                    ภิกษุรูปหนึ่งเคยเกิดเป็นสุกร
                    นางกุมาริกาเคยเกิดเป็นนางกุมาริกา

ชาติที่ ๒๗๓ เรื่อง อุบายให้เกิดลาภโดยไม่ชอบ
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นทิศาปราโมกข์อาจารย์
                    ภิกษุรูปหนึ่งเคยเกิดเป็นมานพ

ชาติที่ ๒๗๔ เรื่อง น้องชายโกงพี่ชาย
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพี่ชาย
                    พ่อค้าโกงคนหนึ่งได้เคยเกิดเป็นน้องชาย

ชาติที่ ๒๗๕ เรื่อง ผู้มีความพอใจต่างกัน
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี
                    พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นปุโรหิต

ชาติที่ ๒๗๖ เรื่อง พราหมณ์ทดลองศีล
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพราหมณ์ทดลองศีล

ชาติที่ ๒๗๗ เรื่อง โทษแห่งสุรา
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระอินทร์
                    หลานของอนาถบิณทิกเศรษฐีได้เคยเกิดเป็นนักเลงสุรา

ชาติที่ ๒๗๘ เรื่อง กาภักดีต่อพญากา
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพญากา
                    พระนางพิมพาได้เคยเกิดเป็นกามเหสี
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นกาเสนาบดี

ชาติที่ ๒๗๙ เรื่อง บนตัวบวชๆ แล้วได้สำเร็จฌาน
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษี

ชาติที่ ๒๘๐ เรื่อง กากับสุนัขจิ้งจอกยกย่องกันเกินไป
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพฤกษาเทพยดา
                    พระเทวทัตได้เคยเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอก
                    พระโกกาลิกะได้เคยเกิดเป็นกา

ชาติที่ ๒๘๑ เรื่อง กากับสุนัขจิ้งจอกยกย่องกันอีก
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพฤกษาเทพยดา
                    พระเทวทัตได้เคยเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอก
                    พระโกกาลิกะได้เคยเกิดเป็นกา

ชาติที่ ๒๘๒ เรื่อง ดีแต่สอนผู้อื่น
                   พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นเทพยดา
                   พระอุปนันท์ได้เคยเกิดเป็นกา 

ชาติที่ ๒๘๓ เรื่อง ตกนรกเพราะเมีย
                   พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นเทพยดาผู้เห็นเหตุการณ์
                   ภิกษุรูปหนึ่งเคยเกิดเป็นบุรุษ
                   ภรรยาเก่าภิกษุรูปหนึ่งเคยเกิดเป็นภรรยาบุรุษ 

ชาติที่ ๒๘๔ เรื่อง ลิงหลอกลิง
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นรุกขเทวดา
                     ภิกษุอาคันตุกะได้เคยเกิดเป็นวานรใหญ่
                     ภิกษุเจ้าอาวาสรูปหนึ่งได้เคยเกิดเป็นวานรน้อย

ชาติที่ ๒๘๕ เรื่อง ลิงคะนอง
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นโกมาริยะฤๅษี
                     พวกภิกษุพวกหนึ่งได้เคยเกิดเป็นพวกฤๅษีผู้คนอง

ชาติที่ ๒๘๖ เรื่อง นกยางรักษาศีล
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระอินทร์

ชาติที่ ๒๘๗ เรื่อง พวกน้อยชนะพวกมากได้ด้วยสามัคคี 
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษี

ชาติที่ ๒๘๘ เรื่อง ผู้ได้รับผลดีแห่งการต้อนรับ
                   พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี
                   พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นบุรุษ

ชาติที่ ๒๘๙ เรื่อง อำมาตย์ทรยศอีกคนหนึ่ง
                   พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี
                   พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าทุพภิเสน

ชาติที่ ๒๙๐ เรื่อง นาคขี้โกรธ
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นนาคพี่ชาย
                     ภิกษุรูปหนึ่งเคยเกิดเป็นนาคน้องชาย

ชาติที่ ๒๙๑ เรื่อง ทดลองหาคนมีศีล
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นศิษย์ผู้มีศีล
                     พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นทิศาปราโมกข์อาจารย์

ชาติที่ ๒๙๒ เรื่อง ตระกูลบิดาเป็นใหญ่
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นอำมาตย์
                     พระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระนางมัลลิกาได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี
                     และพระอัครมเหสี

ชาติที่ ๒๙๓ เรื่อง รุกขเทวดาช่วย
                     พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นรุกขเทวดา
                     พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นพราหมณ์ผู้ยากจน

ชาติที่ ๒๙๔ เรื่อง ราชสีห์กตัญญูต่อนกหัวขวาน
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นนกหัวขวาน
                    พระเทวทัตได้เคยเกิดเป็นราชสีห์

ชาติที่ ๒๙๕ เรื่อง ไม่เคารพธรรม
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นบุรุษจัณฑาล
                    พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี

ชาติที่ ๒๙๖ เรื่อง เห็นบรรพชาดีกว่าฆราวาส
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษีซึ่งเป็นบุตรของปุโรหิต
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นสัยหอำมาตย์
                  พระอานนท์ได้เคยเกิดเป็นพระราชา

ชาติที่ ๒๙๗ เรื่อง เทวดาเกลียดโจร
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสะเดา
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นโพธิ์

ชาติที่ ๒๙๘ เรื่อง คนแก่ไม่ควรถือสาเด็ก
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษีพี่ชาย
                    สามเณรได้เคยเกิดเป็นฤๅษีน้องชาย  
                    ภิกษุแก่รูปหนึ่งได้เคยเกิดเป็นฤๅษีบิดา               

ชาติที่ ๒๙๙ เรื่อง ฤๅษีถืดขันติอย่างแรงกล้า
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษี
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นเสนาบดี
                  พระเทวทัตได้เคยเกิดเป็นพระราชา

ชาติที่ ๓๐๐ เรื่อง สัตว์นรก ๔ ตน
                   พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นฤๅษี
                   พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพราหมณ์

ชาติที่ ๓๐๑ เรื่อง ลูกเศรษฐี ๔ ตนขอเนื้อนายพราน
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นบุตรเศรษฐี
                    พระสารีบุตรได้เคยเกิดเป็นนายพราน

ชาติที่ ๓๐๒ เรื่อง กระต่ายให้ทานชีวิต
                    พระพุทธเจ้าได้เคยเกิดเป็นกระต่าย